Top

อุทัยธานี : ความสุขบนรอยทาง

อุทัยธานี : ความสุขบนรอยทาง

แดดอ่อนทาบทาบนบานหน้าต่างไม้บานเล็ก เสียงนกร้องปลุกผู้คนจากหลับใหล ผมลืมตามองจากในมุ้ง ประเมินตัวเองว่าร่างกายอยากพักให้ผ่อนคลายต่ออย่างที่ตั้งใจหนีภาระหน้าที่มา หรือจะลุกไปรับแดดอุ่นและอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด ในที่สุดก็ค่อย ๆ โผล่ออกจากมุ้ง มายืนมองท้องทุ่งกว้างของ อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี

 

“ไปอุทัยกันไหม” น้องสาวขาเที่ยว หรือจะเรียกให้สวยงามหน่อยก็ ‘นักเดินทางสาว’ เอ่ยถามเมื่อหลายวันก่อน

“เดี๋ยวนะ สักครู่” ผมตอบไปแบบนั้น แล้วรีบคว้าสมุดคิวงานมาเปิด ๆ ๆ “อย่ามีงานเลย สาธุ” เพราะผมบ่นอยากไปอุทัยธานีมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ได้ฤกษ์เสียที ดูจะเป็นเมืองที่ไกลตัวเหลือเกิน

และแล้ว เราก็มายืนอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง ใช้เวลาราว ๆ 3 ชั่วโมง จากสถานีขนส่งหมอชิตด้วยรถตู้ “มันก็ไม่ได้ไกลอย่างที่คิดนี่นา” หรือเพราะคิดถึงอุทัยทีไรใจมันนึกไปถึง ทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก เลยเกิดมโนภาพขึ้นมาเองว่า…ไกล!!!

 

ริมฝั่งสะแกกรัง

เรามาถึง อ.เมือง อุทัยธานี สายไปนิด ตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรังวายไปแล้ว ในสมองมีภาพตลาดสดนี้เต็มไปหมด เมื่อตอนมาครั้งก่อนราว 7 ปีที่แล้ว ปลาสดหลากพันธุ์หลายขนาด วางขายมากมาย ดูจากขนาดแล้วรู้ว่าจับกันในแม่น้ำมาเลย ไม่มีการคัดขนาดให้เท่า ๆ กัน ร้านขายปลาแรด ปลาชื่อดังของเมืองอุทัย รับทำถึงขั้นทอดกรอบนอกนุ่มในให้เสร็จสรรพ

ร้านก๋วยจั๊บที่ตั้งขายชั่วคราวในตลาดเช้าก็ไม่แน่ใจว่ายังคงมีอยู่ไหม กาแฟโบราณ ไข่ลวก ร้านยังมีอยู่ แต่ตอนนี้สายไปแล้ว จะให้ดีมาค้างคืนในเมืองแล้วตื่นเช้ามาตลาดจะดีที่สุด

ผมยืนนิ่งมองเจดีย์และโบสถ์สีขาวของ วัดอุโปสถาราม ที่ตั้งอยู่บนเกาะเทโพ คนละฟากฝั่งที่ผมยืนอยู่ เราอาจเคยได้ยินชื่อวัดนี้ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดโบสถ์ อันเดียวกันนั่นล่ะ ตรงนี้จะมีแม่น้ำเจ้าพระยา กับแม่น้ำสะแกกรังขนาบข้าง พอมีการขุดคลองเชื่อมกัน ก็เลยกลายเป็นเกาะเทโพโดยปริยาย

“อยากไปปั่นจักรยานเที่ยวดูรอบเกาะเทโพนะ แต่ใกล้เที่ยงแบบนี้…” กลางวันที่อุทัยอากาศร้อนจัด ถึงผู้คนจะนิยมปั่นจักรยานบนเกาะเทโพ แต่แนะนำให้พักในร่มรอให้อุณหภูมิลดลงสักนิดก่อนจะดีกว่า ดูสิ แม้กระทั่งบ้านเรือนแพที่ลอยอยู่กลางลำน้ำ ยังไม่มีวี่แววของเจ้าของบ้านเคลื่อนไหวให้เห็นเลย

 

 

ทัวร์คาเฟ่ ร่อนเร่แบบชิล ๆ

เดินท่อม ๆ ตามซอกซอย ดูอาคารบ้านเรือนที่ยังคงรูปแบบเดิม ๆ เสียเป็นส่วนใหญ่ ที่พัฒนาหรือดูแล ก็มักเป็นการปัดฝุ่นทาสีสันใหม่ให้ไฉไล ยังมีคุณป้านั่งเย็บผ้าหน้าบ้านห้องแถวที่มีประตูไม้บานเฟี้ยม แหงนหน้าดูป้ายร้านก็คลาสสิคได้ใจ แอบเดินเฉียดกลุ่มคุณป้าที่คุยกันออกรสอยู่หน้าร้านขายตะกร้าและเตาอั้งโล่

“ข้างหน้าอีกไม่ไกลนะ ขนมปังสังขยา” น้องเอ่ยขึ้น หลังจากกด Google Map ในโทรศัพท์ คือเรามากันแบบไม่ลงล็อกจุดหมาย มีโจทย์หลวม ๆ คือ จะไปเยี่ยมเยียนและพักที่บ้านเพื่อน ส่วนที่เที่ยวที่เหลือปล่อยให้ความรู้สึกพาไปบ้าง อย่างตอนนี้เราจะซื้อ ขนมปังสังขยาไพพรรณ ชื่อดังของอุทัย แล้วหาร้านกาแฟเก๋ ๆ หลังจากพลาดหวังจากตลาดริมน้ำแล้ว

 

“โชคดีนะน้อง มีพอดีเลย 20 ลูก รับเลยไหม ไม่งั้นอาจต้องรอนานนะ” เออ…อันนี้โชคดีจริง เพราะปกติต้องสั่งทำ หรือถ้ามาแบบนี้ ต้องรออีก 1-2 ชั่วโมง ขายลูกละ 8 บาท “เอาสิครับบบ เป็นกล่องละ 10 ลูก 2 กล่องนะครับ” เดินถือกล่องออกจากร้านยิ้มแก้มปริ “เซิร์ชหาร้านกาแฟหน่อยสิ ฮ่า ๆ ๆ ๆ” มีความสุข

ร้านแรกเลย กอบกาแฟ ร้านเก๋ ๆ เจ้าแรก ๆ เลย ใช้ห้องแถวไม้มาตกแต่งให้ทันสมัย กาแฟหอม ๆ วางลงตรงหน้า ก็คว้าขนมปังสังขยาอุ่น ๆ มากิน น้อง ๆ ทักท้วงไม่ทัน นิ้วผมจิ้มลงไปไส้สังขยาทะลัก “โห ไม่บอกเลยว่ามาแนวสังขยาลาวา” นี่ละนะชอบทำอะไรแล้วไม่ถาม เหมือนกับที่คิดไปเองว่าอุทัยไกลมาก เข้าป่าเข้าดง จนไม่ได้มาชิลสักที

แต่พอมาแล้วทำตัวแปลก ฮ่า ๆ ๆ เราย้ายไปร้านกาแฟที่สอง Cross Road ฮิป ๆ ไม่แพ้ร้านแรก ดื่มกาแฟไปอีกแก้ว และ…ไปต่อที่ บ้านจงรัก ร้านกาแฟที่เก็บสะสมของเล่นมากมาย และเปิดชั้นสองเป็นพิพิธภัณฑ์ เพียงรักษาห้องทำงาน ห้องนอน หรือแม้กระทั่งห้องครัว ไว้ให้คนแปลกถิ่นมาเมียงมองบ้างก็น่าสนใจแล้ว จริง ๆ พิพิธภัณฑ์ที่เป็นของชุมชนน่าสนใจทุกที่นะ

กระแสร้านกาแฟมาถึงอุทัยธานีแล้วขอรับ ลองจิ้มในอินเทอร์เน็ตแค่ในเมืองก็เกิน 20 ร้าน

 

มาซื้อหนังสือ ที่อุทัย!!!

หลังจากที่โพสต์รูปว่าตอนนี้อยู่ที่อุทัยธานี มีคนฝากไปดูหนังสือที่ร้านเล็ก ๆ 2 ร้าน “มาซื้อหนังสือ ที่อุทัยธานีเนี่ยนะ!!!”

ร้านแรกเป็นร้านชื่อ ร้านหนังสือกาลครั้งหนึ่ง เจ้าของคือ วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล นักเขียนที่อยากมีร้านหนังสือเล็ก ๆ ออกตระเวนหาไปหลายที่ จนในที่สุดก็เลือกมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองเล็ก ๆ เมืองนี้

อีกร้านหนึ่งก็คือ Booktopia ของ วิรัตน์ โตอารีย์มิตร บางคนอาจรู้จักในนาม ญามิลา หรือ ปลาอ้วน หรือ วนาโศก เพราะพี่อ้วนเขียนหนังสือมาเยอะเหลือเกิน แต่บางคนเห็นหน้าอาจจำไม่ได้ ว่าคนนี้ล่ะ คือ นักเขียนที่เคยเอ่ยคำตามอักษรของเขา

ทั้งสองร้านจะเลือกหนังสือที่เขาชื่นชอบมาวางก่อนเลย และคงมีอีกหลายเรื่องที่คิดว่า คนที่เดินเข้ามาควรจะต้องอ่าน ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ นะครับว่าเขาไม่ได้วางหนังสือที่จะเอาใจคนซื้อ โดยที่เขาไม่รู้สึกดีกับหนังสือเล่มนั้นเลย ทำให้ได้เห็นหนังสือหลายเล่มที่แม้แต่ร้านใหญ่ ๆ ในเมืองหลวงก็หาได้ยากพอดู

ด้วยพักหลัง Social Media เป็นที่นิยมมากขึ้น เรื่องราวของทั้งสองร้านจะไปถึงแฟน ๆ ได้ง่ายขึ้น เราเห็นภาพนักเขียนดัง ๆ หลายคนเดินทางไปทักทาย Booktopia เป็นประจำ แม้กระทั่งงานเปิดตัวหนังสือ 2 เล่มใหม่ของพี่อ้วน “Rocktopia” กับ “เธอไม่เคยรู้ว่ามีเพลงนี้อยู่บนโลก” ก็จัดขึ้นที่อุทัยธานี แล้วมีนักเขียน นักดนตรีดัง ๆ ไปร่วมงานหลายคน

เริ่มรู้สึกหรือยัง ว่าอุทัยฯ…ไม่ธรรมดา

 

 

 

 

ฟ้าสางที่ลานสัก

เพื่อนคนอุทัยมารับพวกเราจากถนนคนเดินตรอกโรงยา ที่เขาเปลี่ยนชุมชนโรงสูบฝิ่นเดิมให้กลายเป็นตลาด ก็คึกคักตามประสาตลาดนัด แต่พวกเราขอลัดเลาะออกจากความจอแจไปพักที่บ้านเพื่อนริมทุ่ง ห่างจาก อ.เมือง ราว 60 กิโลเมตร เพื่อนเป็นคนลานสักและกลับมาสร้างครอบครัวอยู่ที่นี่ บ้านชั้นสองทำเป็นโถงใหญ่ เหมือนเตรียมให้เพื่อนมาพักอาศัย ฮ่า ๆ ๆ

คงเพราะคืนก่อนมาอุทัยเราอดนอนเพื่อเคลียร์งานการที่คั่งค้าง และเมื่อกลางวันอากาศช่างร้อนเหลือ กาแฟสามแก้วจากสามคาเฟ่ มิสามารถดึงเปลือกตาผมให้มองดาวต่อได้เลย

จนถึงรุ่งสางผมออกมาเดินรับแดดอุ่นวันใหม่ ทักทายกับต้นไม้ใบหญ้าไปตามประสา เคยมีคนค่อนแคะว่าผมใช้ชีวิตแสนสุข…สายลมแสงแดดมาก แต่ผมกลับคิดว่า ถ้าเวลาทำงานเราจริงจัง เวลาที่จะเสพสุขบ้าง ดีกรีของความตั้งใจก็ควรจะเท่ากันมิใช่หรือ ที่สำคัญขอให้ใครที่เหนื่อย ๆ ยุ่งกับงานมาก ๆ ลองมาเดินรับไออุ่นตอนเช้าตรู่ที่ทุ่งนาโล่ง ๆ ดูบ้าง ถ้าไม่รู้สึกดี ค่อยมาค่อนแคะผมใหม่อีกครั้งก็ยังทัน

คุณยายเดินหลังโกงหิ้วบัวรดน้ำไปรดผัก พลางบ่นให้ฟังว่าผักรุ่นนี้ไม่ค่อยงามเท่าไร “แต่ถ้าผักรุ่นนี้ คือที่คุณยายกินกันเองในครอบครัว มันงดงามมากครับ งามกว่าผักแพง ๆ ในซุปเปอร์มาร์เก็ตเสียอีก” ผมนึกในใจ

เพื่อน ๆ ตื่นและอาบน้ำกันเรียบร้อย เรียกกันกินข้าวเช้า งานนี้มีผักกูดลวกจิ้มน้ำพริก กับปลาทอดด้วย ก่อนจะออกเดินทางเข้าป่า

 

หุบเขาดึกดำบรรพ์

ตามข้อมูลที่ค้นกันเจอ เมื่อมาลานสักก็ไม่ควรพลาด เขาปลาร้า กับ หุบป่าตาด

“เขาปลาร้านี่ ต้องใช้เวลาเดินนานหน่อยนึงนะ เด็ก ๆ คงไม่สะดวก แต่หุบป่าตาดนี้เด็กก็เข้าได้ค่ะ” เจ้าหน้าที่ตรงปากทางเข้าหุบป่าตาดบอกเรา แปลว่าวันนี้เราคงไม่ได้ขึ้นไปดูภาพเขียนสีบนผนังถ้ำประทุน ที่เขาปลาร้า เพราะเวลาเหลือไม่มาก และมีเด็กน่ารัก ๆ มาเที่ยวด้วย แต่แค่เพียงหุบป่าตาดก็พาเราตาโตแล้วล่ะ

หุบป่าตาดเป็นป่าดึกดำบรรพ์อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าถ้ำประทุน พระครูสันติธรรมโกศล เจ้าอาวาสวัดถ้ำทองได้ปีนลงมาเจอหุบเขาที่เป็นดงต้นตาด หน้าตาเหมือนปาล์ม และมีสัตว์ที่มีเฉพาะถิ่นที่นี่ด้วย คือ กิ้งกือมังกรสีชมพู ยังคงมีอยู่แต่หาดูยากหน่อย ยิ่งพอมีการทำทางเดินศึกษาธรรมชาติลัดเลาะไปในหุบเขา ความยาวราว 700 เมตร ผู้คนมาเยอะขึ้น ก็เจอยากกว่าเดิม

ที่นี่แม้จะไม่ใช่คนรักด้านพฤษศาสตร์ หรือนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตัวฉกาจ ผมเชื่อว่าเห็นหินงอกหินผา อยู่เคียงคู่กับต้นไม้โบราณหน้าตาแปลกจากที่เคยคุ้น ก็พาให้ตะลึงไปได้เหมือนกันล่ะ

ยิ่งเด็กวัยกำลังอยากรู้ ผมแนะนำว่าควรจูงมือเดินลงหุบเขาสักครั้ง

 

 “ไซเบอร์” เชื่อไหมว่าชื่อน้ำตก

เข้าป่าจริงจังขึ้นอีกนิด ในอำเภอใกล้เคียงชื่อ อ.ห้วยคต ในพื้นที่หน่วยพิทักษ์ป่าไซเบอร์ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง “ต้องเดินเข้าไปประมาณ 800 เมตรนะครับ ไม่ไกลมาก” เจ้าหน้าที่เอ่ยยิ้ม ๆ 

ที่นี่เป็นพื้นที่ที่เหมาะกับการเรียนรู้และการพักผ่อน น้ำใส ๆ เย็น ๆ ไหลแรง แต่ไม่ลึก ให้เราสามารถลงไปลุย หรือนอนแช่ได้อย่างสบาย ๆ แต่ก็มองหน้ามองหลังไว้บ้างก็ดี เพราะบางจุดริมน้ำผมยังเห็นขี้ช้างแบบใหม่ ๆ ด้วย

ระหว่างทาง 800 เมตรนั้น ผ่านต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบ บ้างแผ่พูพอนตรงโคนต้น เพื่อค้ำยันไม่ให้ต้นสูงใหญ่ล้มลง เสียงนก แมลง ก้องกังวานในป่าเงียบ ช่วงที่สายน้ำไหลผ่านโตรกหิน ไหลกระทบก้อนหินใหญ่ เสียงจะซู่ซ่าแทรกมากับสายลมกลางพนากว้าง

ถึงน้ำตกสายใหญ่ที่ไหลลงจากผาหินสูงราว 25 เมตร ลงสู่แอ่งน้ำขนาดย่อม วัยรุ่นกลุ่มเล็ก ๆ ลงเล่นน้ำอย่างร่าเริง ความสุขกลางพื้นที่ธรรมชาติไม่ได้ต้องการสิ่งใดมากไปกว่ามิตรภาพและรอยยิ้มให้แก่กัน

 

ผมเชื่อมาตลอดว่า เราสามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้มากกว่าที่เราคิด แต่ความสุขกลับเป็นสิ่งที่เราทำให้ตัวเองไม่ได้ เราทำได้เพียงเดินเข้าหามุมที่มีสุขซุกซ่อนอยู่ และซึมซับเข้ามาให้มากที่สุด

เพื่อนส่งเราขึ้นรถหลังจากออกจากน้ำตก ความสุขเรารับไปเต็ม ๆ ในเวลาเพียงสองวัน ช่วยเติมกำลังใจให้เราเดินต่อไปในชีวิตการงานอันหนักหน่วงได้แน่ ๆ

“เราไปไหนกันอีกดี” ใครสักคนเอ่ยขึ้นบนรถที่มุ่งหน้าเข้ากรุง

mkteventmag
No Comments

Post a Comment