Top

วันนั้น..ที่น่าน

วันนั้น..ที่น่าน

ชีวิตคนเราบางครั้งก็ต้องอาศัยโชคกันบ้าง ถ้าพูดแบบไม่ดูงมงาย บางเวลาโอกาสก็เข้ามาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งขึ้นอยู่ว่าเราจะคว้ามันไว้หรือไม่ เท่านั้นเอง

 

เมื่อกว่า 10 ปีก่อน ผมมีโอกาสมาบันทึกเรื่องราวการเดินทางที่ จ.น่าน เป็นยุคก่อนที่จะมีสิ่ง “เก๋ไก๋” สไตล์การท่องเที่ยวยุคร่วมสมัยนี้เกิดขึ้น ความสุขที่ได้สัมผัสธรรมชาติ และวิถีชีวิตง่ายงาม ยังคงไม่ลืมเลือน ร่ำ ๆ จะกลับมาเยือน

แต่ก็ด้วยเหตุผลที่ไม่ควรเกิดกับนักเดินทาง “ยังไม่มีเวลา” ทำให้ได้แต่ย่ำเท้าอยู่กับที่ แล้วนอนฝันถึงแดดอุ่นหมอกหนาวไปวัน ๆ

 

เส้นทางรักกลางสายลมหนาว

รุ่นพี่ที่สนิทกันส่งภาพดอกนางพญาเสือโคร่งสีชมพูสะพรั่งทั้งบนต้นและร่วงหล่นเต็มลานกางเต็นท์ เขาเก็บดอกไม้ตามพื้นมาวางเรียงเป็นหัวใจสีชมพู ส่งมาทำไม!!!

“อยากให้ทำมิวสิควิดีโอที่น่าน เก็บเรื่องราวความทรงจำให้หน่อย” พี่บอกมาอย่างนั้น นั่นนับเป็นโอกาสที่ดีที่จะกลับไปน่านอีกครา แค่รับปากว่าจะไป ราวกับมีไอเย็นแทรกตัวผ่านป่าคอนกรีตเข้ามาใต้ผ้าห่ม…เหมือนฝัน

ที่พักบนอุทยานแห่งชาติดอยภูคามีให้เลือกหลายแบบ ทั้งที่เป็นบ้านเป็นหลัง และเป็นเต็นท์ที่ทางอุทยานกางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว มีห้องน้ำสะดวกสบาย ราคาไม่แพงนัก เพียงแต่ต้องโทร.จองให้เป็นมั่นเป็นเหมาะเสียก่อน

“ตอนนี้ดอกนางพญาเสือโคร่งเหลือน้อยมากแล้วค่ะ แต่พอมีให้ดูบ้าง อากาศก็…กลางคืนน่าจะต่ำกว่า 10 เซลเซียส”

เจ้าหน้าที่รับจองบอกมาอย่างนั้น นับว่าเป็นโชคอีกอย่างที่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา อากาศบ้านเราหนาวเหน็บ แม้แต่กรุงเทพฯ ก็ยังต้องสวมเสื้อกันหนาว

“ครับ ขอล็อคไว้หนึ่งเต็นท์นะครับ”

วันเดินทางเราเอ้อระเหยเก็บภาพไปตามทาง ไปถึงลานดูดาวที่เป็นจุดกางเต็นท์ ก็เย็นย่ำใกล้พลบค่ำ มองไม่เห็นอะไรมากมาย ผมถึงขั้นทำใจว่าคราวนี้คงไม่มีนางพญาเสือโคร่งแน่ คืนนี้คงต้องรีบนอนเพื่อหาภาพยามเช้าที่สวยหวานมาทดแทน

ดอยภูคามีจุดสูงสุดประมาณ 1,900 เมตร จากระดับน้ำทะเล สามารถเดินทางมาได้ทั้งปี แต่จะได้ความรู้สึกแตกต่างกันไป ช่วงฤดูหนาว พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ ปกติอุณหภูมิก็อยู่ราว ๆ 10 องศาอยู่แล้ว แต่คืนนั้นที่เราไปเก็บภาพความทรงจำ อากาศเย็นเยียบลงไปถึง 6 เซลเซียส!!! เราต้องเข้าไปขอนั่งรอบกองไฟกับเจ้าหน้าที่เพื่อบรรเทาความหนาวลงบ้าง เมื่อฟ้าสาง หมอกจาง ๆ ลอยอ้อยอิ่ง ผมงัวเงียเปิดประตูเต็นท์ทั้ง ๆ ที่อยากซุกตัวในถุงนอนต่ออีกสักครู่ เห็นดอกไม้สีชมพูร่วงกราวเต็มพื้น เงยหน้ามองขึ้นไปยังกิ่งก้าน ดอกนางพญาเสือโคร่งยังมีบานให้เห็น แม้ไม่มากมายเหมือนที่ใคร ๆ ชอบเอ่ยว่า “ซากุระเมืองไทย” แต่ก็ทำให้คนที่เพิ่งลืมตาผุดลุกขึ้นคว้ากล้องอย่างรวดเร็ว

ผมต้องโอบกอดกล้องที่ผ่านอากาศเย็นเยียบมาตลอดคืน ให้ไออุ่นจากตัวคนปรับอุณหภูมิตัวกล้องให้เท่ากับอากาศรอบตัว ไม่อย่างนั้นไอน้ำจะจับหน้าเลนส์เป็นฝ้า จึงได้โอกาสใช้เวลานี้ ชื่นชมสิ่งสวยงามด้วยสายตาและบันทึกด้วยความทรงจำอีกสักช่วงเวลาหนึ่ง

แสงแดดยามเช้าส่องลอดดงไม้ ดอกไม้งามบานรับแสง ผมต้องกระชับเสื้อกันหนาวให้อุ่นขึ้น เริ่มเข้าใจว่า ความทรงจำในความรัก ของรุ่นพี่ ที่เดินทางมาหนาวกับคนรักของเขา ทำไมถึงน่าจดจำถึงขั้นจารึกเป็นบทเพลง

ตอนนี้ผมเองเสียอีกที่เริ่มเกรงว่า จะบันทึกภาพได้ไม่งดงามเท่าความรู้สึกที่มี

 

Only in Thailand

ช่วงที่ผ่านมาเรื่องราวการทำลายผืนป่าและความพยายามที่จะปลูกต้นไม้ใน จ.น่าน ดูจะเป็นประเด็นเผ็ดร้อน ก็เห็นมีการหักร้างถางพงพื้นที่บนภูให้เป็นที่ทำกินกว้างขวางตามข่าวที่ว่าจริง ๆ แต่ตามเส้นทางบนอุทยานแห่งชาติก็ยังสมบูรณ์อยู่ และหลายคนอาจไม่รู้ว่า มีหลายสิ่งที่มีเฉพาะพื้นที่นี้ อย่างแรกเลยก็ต้นชมพูภูคา ที่ใคร ๆ ก็ถามหาว่าอยู่ที่ไหน “ต้นที่ดูได้ใกล้ที่สุด อยู่ตรงศาลเจ้าหลวงภูคา แต่ดอกจะบานราว ๆ ปลายกุมภาพันธ์ – มีนาคม นะครับ” วันนั้นผมจึงไม่ได้เห็นของจริง แต่พอจำได้เมื่อสิบกว่าปีก่อนว่าหน้าตาเป็นอย่างไร

“ต้นเต่าร้างยักษ์” ก็เป็นพืชตระกูลปาล์ม หน้าตาก็คล้ายเต่าร้างที่หลายบ้านปลูกกันนั่นล่ะ เพียงแต่ใหญ่โตกว่าหลายเท่า ความสูงเขาประมาณ 40 เมตร ยังไม่มีรายงานว่าพบที่อื่นใดในโลก ที่จุดชมวิวสามารถมองเห็นได้ชัดเจน หรือที่ลานดูดาวก็มีแบบใกล้ชิดอยู่หนึ่งต้น

และอีกต้นหนึ่งที่ผมเคยได้ยินชื่อแต่ไม่คิดว่าจะได้เจอ “ก่วมภูคา” พืชตระกูลเดียวกับเมเปิ้ล พบครั้งแรกที่นี่เช่นกัน เผอิญตอนไปกินอาหารเช้าผมเหลือบไปเห็นว่าเขานำมาปลูกไว้ เรียกได้ว่าดีใจจนลืมหนาวกันเลยทีเดียว

 

เกลือบนภูเขาสูง

บ่อเกลือ_IMG_4584

จุดหมายต่อไปของการบันทึกความทรงจำ คือ อีกด้านของดอยสูง อ.บ่อเกลือ ที่ได้ชื่อแบบนี้ เพราะที่นี่มีการทำเกลือสินเธาว์กันเป็นล่ำเป็นสัน เล่าขานว่าทำกันมายาวนานคู่ประวัติศาสตร์ไทยกันเลย จากเดิมที่มีบ่อน้ำเค็มอยู่หลายบ่อ ปัจจุบันมีเหลือเพียงสองบ่อเท่านั้น ถ้าจะเล่าถึงวิธีการทำอย่างง่าย ๆ ก็คือเขาจะตักน้ำจากบ่อแล้วเทไหลไปตามลำไผ่ไปสู่บ่อพักของแต่ละคน นำน้ำนั้นไปต้มในกระทะขนาดใหญ่ ให้น้ำระเหยไป ช้อนผลึกเกลือจะเกิดขึ้นที่ผิวน้ำเป็นระยะ ๆ ขึ้นใส่ตะกร้าใบใหญ่ที่แขวนอยู่เหนือกระทะ ทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าน้ำจะแห้งแล้วเริ่มใหม่

เกลือสินเธาว์นี้ไม่มีธาตุไอโอดีนตามธรรมชาติ ในยุคใหม่นี้เขาจึงเสริมธาตุไอโอดีนลงไป เพื่อให้คุณสมบัติไม่แพ้เกลือสมุทร สามารถปรุงรสให้อร่อยและถนอมอาหาร ถนอมใจ ให้ความรักยืนยาว (อันหลังนี่ความเห็นส่วนบุคคลนะขอรับ)

ที่ตั้งของโรงต้มเกลืออยู่ริมแม่น้ำมาง ลำธารใสน้ำตื้น ๆ แต่ได้ยินเสียงไหลระริกอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ จุดหมายต่อไปของเรา

 

ริมน้ำมาง ความทรงจำไม่เคยจาง

ครั้งผมยังเด็กผมเคยวิ่งเล่นในลำธารเล็ก ๆ น้ำตื้นเพียงตาตุ่ม หินก้อนกลมมนกระจายตัวทั่วผืนน้ำ ความทรงจำนั้นยังตราตรึง ลำน้ำมางสามารถขุดไปถึงความรู้สึกนั้นได้ไม่ยากเย็น “เหมือนบ้านผมตอนเด็ก ๆ เลย ถ้าไปนั่งที่โขดหินกลางน้ำ เอาเท้าแช่กลางน้ำไหลจะเย็นสบายมาก” ผมเอ่ยกับน้องร่วมทางบันทึกภาพ

น้ำมาง_หญ้าถอดปล้อง_IMG_4898

พลันสายตาก็พบกับต้นหญ้าเล็ก ๆ ริมลำธาร “หญ้าถอดปล้อง” เป็นหญ้าที่ขึ้นบริเวณที่ชุ่มฉ่ำ ถ้าไม่ใช่การนำไปปลูกจะพบไม่บ่อยนัก แต่ริมน้ำมางมีขึ้นเป็นทางยาว

ผมกับน้องช่างภาพอีกคนแบกขาตั้งและกล้องคนละตัว ออกเดินเก็บภาพ “เย็น ๆ แบบนี้ยังรู้สึกหนาว คืนนี้น่าจะหนักหนาอยู่นะ” เป็นคำเปรยที่รู้คำตอบอยู่แล้ว เพราะแม้ว่าพื้นที่จะต่ำกว่าลานดูดาวเมื่อคืน แต่ “ปลายมาง ทางรัก” ที่พักของเราอยู่ในหุบและใกล้น้ำ อากาศน่าจะลดต่ำกว่าที่การพยากรณ์ว่าไว้

ผมนั่งตั้งกล้องกลางลำน้ำ เก็บความเคลื่อนไหวกับเสียงน้ำไหลไว้ทั้งในกล้องและความทรงจำ ก่อนจะหันไปมองต้นไม้ริมน้ำ เขาคงแข็งแรงมาก เพราะลำธารน้ำตื้นแบบนี้ ยามหน้าน้ำหลากจะสูงและแรง บางจุดก็ออกนอกเส้นทางเข้าท่วมพื้นที่ทำกินที่อาศัย เป็นเรื่องราวปกติที่ผู้คนปรับตัวมาชั่วอายุขัยแล้ว

อีกเรื่องราวหนึ่งที่น่าสนใจของลำน้ำมาง คือ ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของสายน้ำ ทุกปีจะมีปรากฏการณ์ “ปลากอง” เป็นปลาปีกแดงจะว่ายทวนน้ำตื้น ๆ ขึ้นมาวางไข่แถวนี้ มาเป็นหมื่น ๆ ตัว ปีหนึ่งมีแค่ 2 วันเท่านั้น ขออนุญาตไม่บอกว่าวันไหน เล่าให้ฟังเพราะอยากให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของพื้นที่ แต่พูดจริง ๆ ไม่อยากให้มาเที่ยวช่วงนั้น!!! ถึงวันที่มีปลากองก็จะมีนักข่าวมาถ่ายไปให้ดูกันอยู่แล้ว แค่เห็นว่ามีการขุดลอกลำน้ำมาง จะปรับลำคลองให้เอื้อต่อประโยชน์ใดก็ตามที แค่นี้ก็เกรงว่าปลาเขาจะไม่กลับมากันแล้ว

ค่ำนั้นเราออกตระเวนหาของกิน จะกลับไปกินขนมจีนน้ำเงี้ยวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไข่ป้าล้วนเหมือนเมื่อตอนกลางวัน ก็…ลองที่ใหม่บ้างก็ได้ ใจผมนึกไปถึงเมื่อตอนเดินอยู่ริมน้ำบนดอยภูคา มีเฟิร์นที่คล้ายผักกูดขึ้นอยู่ด้วย งั้นแถวนี้น่าจะมี

บ่อเกลือ_ผักกูดไฟแดง_IMG_4810

 

สมใจอยากครับ ผักกูดไฟแดง ที่ร้านเตาเกลือช่วยเหลือเราได้จริง ๆ

ยามดึก อากาศลดลงไปอยู่ราว 8 องศาเซลเซียส “พี่เขามาชิลกับแฟนในอากาศแบบนี้ ท่าทางจะมีความสุขมากเนอะ” ผมคิดในใจ ก่อนปิดไฟนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ามืดมาเก็บหมอก!!!

 

อุ่นไอในสายหมอก

เช้าตรู่เราหอบกล้องออกไปนอกห้อง ลมหนาวราว 4 องศากรูเข้ามาในห้อง มองไปยังฝั่งตรงข้าม ต้นไม้ที่เคยตระหง่านเหลือเพียงเงาสลัวรางกลางหมอกขาว ลำธารยังส่งเสียงระริกกับก้อนหินกลมมน หยดน้ำค้างเกาะพราวบนยอดหญ้าถอดปล้อง สายน้ำที่เราลุยฝ่าไปเย็นเยียบจนหยุดอยู่กับที่นาน ๆ ไม่ได้

“บรรยากาศเหมาะกับหนังรักชะมัด” วลีที่ผุดขึ้นในสมอง โอกาสที่ได้พบกับสิ่งเหล่านี้ที่จริงมันสร้างได้ นักเดินทางกับคำว่า “ไม่มีเวลา” เป็นทั้งข้ออ้างที่แย่และเป็นทั้งปัญหาที่บั่นทอนพลังใจได้เยอะเลยทีเดียว

“พี่ ๆ แสงกำลังฝ่าหมอกลงมาแล้วทางโน้น” สิ้นเสียงเรียก ผมวิ่งแบกขาตั้งและกล้องคู่ใจตามไปทันที

 

ฤาจะเหลือเพียงความทรงจำ

แสงเช้าฝ่าหมอกช่วยเผยสรรพสิ่งจากความมืดมัว แดดจับหยดน้ำที่เกาะตามกิ่งไม้และใยแมงมุมดูแวววาวเลอค่า นั่งนิ่ง ๆ นาน ๆ เข้าใจถึงความรู้สึกของคู่รักที่ได้เห็นภาพและสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ จนกระทั่งกลั่นออกมาเป็นผลงานเพลง

          และถ้าเรื่องราวการรุกรานธรรมชาติเป็นเรื่องที่ลุกลาม ภาพที่ผมเก็บไปวันนี้คงจะเป็นประวัติศาสตร์ที่แสนดี แต่อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย

          อย่าให้ต้องตั้งชื่อภาพว่า วันนั้นที่น่านเลย

 

 

mkteventmag
No Comments

Post a Comment