Top

ธนา เธียรอัจฉริยะ

ธนา เธียรอัจฉริยะ

New Work, New World & New Version of My Life:

คุณเชื่อไหมว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับชีวิตคนส่วนใหญ่ ล้วนเกิดขึ้นจากมันสมองและสองมือของนักสร้างสรรค์ ผู้กล้าเดินหน้าออกจากโซนปลอดภัย (Comfort Zone) แล้วพาตัวเองไปผจญกับความท้าทายใหม่ที่ตนเองไม่คุ้นเคย เพื่อให้โอกาสกับชีวิตได้พบเจอประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการพัฒนาตนเองทั้งสิ้น

            โดยส่วนตัวกับความคิดดังกล่าวผมค่อนข้างจะเชื่อว่ามันคือสัจธรรมที่เป็นเรื่องจริง ทั้งยังเชื่ออีกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผมเขาก็น่าจะคิดเห็นเช่นเดียวกัน

เพราะเอาเข้าจริงเขานั่นแหละคือคนที่เดินออกจากโซนปลอดภัยมาหลายครั้งจนเชี่ยวชาญถึงขนาดที่ว่านำมาสร้างเป็นวิธีคิดส่วนตัวที่เรียกกันว่า ‘Out of Comfort Zone’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งที่ตัวเขาเองยอมรับกับเราว่าเป็นคนขี้ขลาดมากก็ตาม

ชายคนที่ผมกำลังพูดถึงคือ ธนา เธียรอัจฉริยะ’ ซึ่งใครก็รู้ว่านักการตลาดชื่อดังที่คนทั่วไปต่างรู้จักกันอย่างดีในฐานะอดีตผู้บริหารคนสำคัญจากค่ายดีแทค แม็คยีนส์ รวมถึง จีเอ็มเอ็มแซท รวมถึงอีกหนึ่งบทบาทที่เขาเพิ่งได้รับมานั่นคือการเป็นผู้ก่อตั้งหลักสูตรที่มีชื่อว่า ‘ABC’ (Academy of Business Creativity) ของมหาวิทยาลัยศรีปทุมนั่นเอง

            วันนี้เรามีโอกาสได้นั่งสนทนากับเขาเรื่องงานใหม่ในปัจจุบัน ในฐานะผู้ก่อตั้งหลักสูตร ABC ดังกล่าว ซึ่งธนายอมรับว่ามันเป็นการเดินออกจาก Comfort Zone ครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของชีวิต เราจึงต้องถามให้รู้ว่าหลักสูตรนี้มีรายละเอียดอย่างไรที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปได้อย่างสิ้นเชิง และไม่เพียงแค่เรื่องงานเท่านั้น การพูดคุยยังเลยเถิดไปถึงกิจกรรมใหม่ในชีวิตเขานั่นก็คือการ ‘วิ่ง’ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำให้เขาค้นพบแง่งามบางอย่างที่นำพาชีวิตเขาอัพเกรดไปสู่เวอร์ชั่นใหม่ รวมถึงสิ่งสำคัญที่ชายวัย 46 ปีผู้นี้กำลังครุ่นคิดในวันนี้

คำตอบทั้งหมดของทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไป เกิดขึ้นในบทสนทนาที่คุณกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้

MKT Event :  อยากให้คุณช่วยเล่าที่มาที่ไปในการเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งหลักสูตร ABC    

ธนา : คือก่อนอื่นผมเชื่อว่าทุกอย่างในชีวิตล้วนเกิดจากการเชื่อมต่อจุด (Connecting the Dot) ในชีวิต ที่เราสะสมไว้ การสร้างหลักสูตรนี้ก็เช่นเดียวกันมันเป็นจุดเกิดขึ้นตอนที่ผมรู้จัก ดร.รัชนีพร พุคยาภรณ์ พุกกะมาน ตอนไปเรียนหลักสูตร วตท. (สถาบันวิทยาการตลาดทุน) อาจารย์ท่านก็ชวนมาหลายทีแล้วว่าอยากให้ผมมาสอนเกี่ยวกับการตลาดเชิงสร้างสรรค์ แต่ก็ปฏิเสธไปเพราะคิดว่าตัวเองไม่น่าจะสอนปริญญาโท ปริญญาเอกได้ แต่ตอนที่ตัดสินใจว่าจะทำก็เป็นช่วงเวลาที่เพิ่งเสร็จสิ้นโปรเจคกับเทเลนอร์ ก็เลยลองเสนอไปว่า ผมอยากทำหลักสูตรแบบที่เอาวิทยากรแนวใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างความสำเร็จให้แก่ธุรกิจมาพูดคุยสนุก ๆ ในคลาส หากิจกรรมแปลก ๆ ให้คนที่เรียนทำ อย่างเช่นแต่งเพลง ทำหนังสั้น อะไรอย่างนี้ผมอยากทำ ซึ่งอาจารย์รัชนีท่านก็เห็นด้วย ผมจึงเริ่มสร้างโปรเจคนี้ขึ้นมา แต่ก็อยากหาคนมาช่วยกันทำ ซึ่งคนที่ผมนึกถึงก็คือ พี่ตุ้ม-สรกล (หนุ่มเมืองจันท์) แล้วพอดีแกเพิ่งออกจากมติชนกำลังอยากหาอะไรทำเพื่อรีเฟรชความคิดตัวเอง ก็เลยเข้าทาง ผมก็ชวนซึ่งแกตอบตกลงทันที

MKT Event : ทั้งคุณและคุณสรกลใช้เวลาในการพัฒนาหลักสูตรนี้ให้ลงตัวนานแค่ไหน

ธนา : ใช้เวลาเป็นปีเลยนะ (ตอบเร็ว) กว่ามันจะลงตัว เราลองผิดลองถูกผ่านการแชร์ความคิด ผ่านการตั้งโจทย์ในการเชิญวิทยากรมามาก ซึ่งก็เช่นเดียวกัน วิทยากรที่ผมเชิญมาก็ล้วนเป็นจุดที่ผมสะสมไว้ในอดีตตั้งแต่สมัยทำงานที่ดีแทค จึงเกิดเป็นพลังในการสร้างคอร์สการเรียนที่น่าจะกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ให้แก่คนที่มาเรียนได้อย่างมาก ผมเชื่ออย่างนั้น

MKT Event :  ในความคิดคุณการเป็นผู้บริหารหลักสูตร ทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปอย่างไร

ธนา : ในเนื้องานอาจจะมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปเพราะมันไม่มีความสัมพันธ์แบบลูกน้อง แต่ผมเรียกเขาเป็นนักเรียนมากกว่า คืออันนี้เป็นนักเรียนถ้าดื้อดุนะเว้ย! มันต้องมี อะไรแบบนี้ แต่ผมว่าอย่างหนึ่งที่เหมือนกันก็คือด้วยความท้าทายทำให้ผมเกิด Passion ที่อยากออกไปทำมันทุกวัน ส่วนชีวิตที่เปลี่ยนไปอาจจะมาจากการที่เราได้เห็นพลังสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ มันกระตุ้นให้ผมกล้าทำอะไรหลายอย่างที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ เอาง่าย ๆ เลย อย่างการเป่าแซกโซโฟน พี่เก้ง-จิระ เขาท้าผมเอาไว้ผมต้องทำให้ได้ มันเป็นกิจกรรมใหม่ที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ซื้อแซกมาเลยแล้วค่อยหาที่เรียน ตั้งใจว่าจะทำให้ได้ ยิ่งมีคนท้ายิ่งต้องทำให้ได้ ผมมันพวกท้าไม่ได้เสียด้วยสิ (หัวเราะ)

MKT Event :  ตอนนี้หลักสูตร ABC เปิดมากี่รุ่นแล้ว

ธนา :  ถ้ารวมรุ่นนี้ก็เข้าสู่รุ่นที่ 3 ครับ

MKT Event : ปรัชญาหลักที่คุณได้กำหนดเอาไว้ให้หลักสูตรนี้มีคำจำกัดความอย่างไร

ธนา : ผมอยากเน้นว่ามันเกิดขึ้นจากหลักปรัชญาของการสร้างความแตกต่างในการดำเนินธุรกิจ และเน้นย้ำฝึกฝนให้ผู้ที่เข้าร่วมอบรมได้ใช้ศักยภาพของสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวาอย่างเต็มที่ โดยการเปิดเวทีนำโจทย์ทางธุรกิจจริงมาเป็นกรณีศึกษาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและทักษะใหม่ ๆ

MKT Event : กลุ่มคนที่มาเรียนในหลักสูตรเป็นแบบไหน

ธนา : กว้างมากครับ เพราะว่าเรารับตั้งแต่คนอายุ 25 จนถึง 60 ความกว้างตรงนี้จึงมีกลุ่มที่ใช้สมองซีกซ้ายอย่างพวกวิศวกร นักบัญชี นักการเงิน มาเรียนร่วมกันกับพวกใช้สมองซีกขวาทำงาน แบบพวกทำงานด้านบันเทิง หรือกลุ่มครีเอทีฟอย่าง กาละแมร์-พัชรศรี, ปลื้ม VEZO หรือ เนม นักร้องนำวง Getsunova และอีกหลาย ๆ คน ซึ่งผมเรียกทั้งสองกลุ่มนี้ว่าพวก ‘เป๊ะๆ’ กับพวก ‘กะๆ’  เวลาสมองซีกซ้ายเจอสมองซีกขวายังไงก็สนุกทุกครั้งนะ พวกวิทยาศาสตร์เจอพวกศิลปะ เวลาเอาทั้งสองกลุ่มมาคละกันมันจะมีความคิดสร้างสรรค์เสมอ

MKT Event : แล้วคุณมีวิธีอะไรที่ทำให้ผลสรุปสุดท้ายทางความคิดของพวกเป๊ะๆ กับ กะๆ มันขีดเส้นใต้สรุปแบบเดียวกัน

ธนา : จริง ๆ มันควรไม่เหมือนกัน แต่ที่สนุกก็คือว่าพวกเป๊ะ ๆ นี้ชอบฟังคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบฟังพวกสายศิลปิน ส่วนพวกกะ ๆ ชอบฟังพวกเป๊ะ ๆ เพราะว่าเขาไม่มีสิ่งนั้น เขาเลยขีดเส้นใต้คนละเส้นกัน ซึ่งเป็นเรื่องดีนะเพราะเส้นเดิมเขาหนาอยู่แล้วเขามาขีดเส้นที่บางมันจะเท่ากัน เพราะขีดสิ่งที่ตัวเองไม่มี แต่อย่างไรมันต้องมีจุดร่วมของการคบกัน ก็คือหัวใจของคลาสนี้คือคุณต้องไม่รีบทำธุรกิจกับเพื่อน ซึ่งเราปราม ๆ ไว้แต่แรกเลย บางคนตอนจบยังไม่รู้เลยว่าไอ้นี่มันทำอะไร รู้แต่ว่าเป็นเพื่อนกัน อีกอันหนึ่งที่สำคัญคือก่อนจะมาเรียนคุณต้องทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้ว ถ้ามาแบบน้ำเต็มแก้วนี่ไม่ได้อะไร ไม่เกิดการเรียนรู้ใหม่ อันนี้คนที่เข้ามามันเทน้ำกันออกเกือบหมดแล้วมันเลยอยากมาเรียน มันก็จะค่อนข้างง่ายในการที่จะหลอมรวมทุกคนเข้าหากันให้บรรทัดสุดท้ายสรุปแบบเดียวกัน

MKT Event : โดยหลักแล้วนอกจากการสร้างความหลากหลายทางความคิด คุณอยากสร้างความคิดอะไรให้เกิดขึ้นกับคนที่มาเรียน

ธนา : คือหลักสูตรนี้อย่างแรกคือต้องสนุกก่อนไม่อย่างนั้นใครจะไปเรียน วิทยากรต้องสนุก ต้องเป็นคนที่พูดแล้วทุกคนอยากฟัง ฟังแล้วต้องได้แรงบันดาลใจ เพราะแรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญในการผลักดันให้คุณสามารถลุกขึ้นมาทำอะไรให้สำเร็จ หรือบางครั้งมันอาจจะสามารถผลักให้คุณเดินหน้าออกจาก Comfort Zone ที่คุณคุ้นเคย เราจึงสร้างกิจกรรมเสริมให้คุณได้ทำอะไรในแบบที่คุณไม่เคยทำประกอบกับการที่วิทยากรของเราก็จะพาคุณออกไปทำสิ่งที่ไม่คุ้นชินด้วยเช่น เราก็มีจัดงานตอนกลางคืน คือแบ่งเป็นเมือง เขาก็จะเล่นกิจกรรมอะไรแบบที่บางคนไม่เคยทำเช่นการแสดง การเต้นตรงนี้เราก็ได้ พี่ยอร์ช – ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์ ผู้กำกับชื่อดังและคนของบริษัทโต๊ะกลมจากเวิร์คพ้อยท์มาช่วยกันสร้างกิจกรรมโชว์ ในส่วนของการทำหนังสั้นมี พี่เก้ง – จิระ มะลิกุล จาก GTH มาสอน ทุกคนก็สนุกมาก ถึงขนาดที่มีบางคนมาบอกกับผมว่าตั้งแต่เด็กจนโตยังไม่เคยเต้น แต่ได้มาทำอะไรที่นี่มันก็สนุกดี

MKT Event : แสดงว่าสิ่งที่คุณเคยพูดว่าคนเราต้องกล้าออกจาก Comfort Zone มันก็เป็นเพียงเรื่องเล็ก แค่การได้ลองทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคยบ้างเท่านั้น

ธนา : ใช่ครับ (ตอบเร็ว) การออกจาก Comfort Zone ไม่จำเป็นต้องลาออกจากงานหรอก แค่ได้ทำเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่คุ้นชินบ้าง ทำแล้วมันไม่สบายตัวมันจะทำให้เกิดจุดจำ ผมยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีเงินคุณไปเที่ยวชอปปิ้งมันธรรมดา แต่ถ้ามีเงินแล้วเที่ยวหาประสบการณ์ชีวิต เช่นไปอินเดียดูซิ โอ้อันนี้จุดจำอย่างดีเลยนะ หรืออย่างมาเรียนคอร์สใหม่เจอเพื่อนใหม่ที่มันเก่งกว่าเรา จากแต่เดิมที่เราเป็นคนทำงานในตำแหน่งใหญ่มีแต่คนไหว้ แต่มาเรียนแล้วเจอคนที่เขาเรียนได้ดีกว่าคุณ คุณต้องพยายามผลักดันตัวเองให้เท่าเขาหรือเก่งกว่าเขา อันนี้ก็ทำให้เกิดจุดจำได้เช่นกัน หรือลองไปแพ้บ้างมันก็ยิ่งทำให้เกิดการจดจำได้มากขึ้นเช่นกัน

MKT Event : เรียกว่าเรียนรู้จากความพ่ายแพ้ให้เกิดจุดที่จดจำใช่ไหม

ธนา : ใช่ครับ คุณสังเกตไหมว่าเวลาที่คุยกับคนที่ประสบความสำเร็จเขาจะเล่าเรื่องล้มเหลวหมดเลย ผมไม่เคยเห็นคนที่โดดเด่นได้โดยที่ไม่มีแผลเลยนะ คือถ้าเรานั่งอยู่ที่เดิมแล้วเราชนะทุกทีเราก็โง่ลงเรื่อย คือการแพ้ของผมมันมีล้มเหลว ผิดพลาด โง่เขลา ไม่คาดฝัน คุณต้องหาให้เจอว่าคุณแพ้เพราะอะไร

MKT Event : แต่มันไม่แปลกหน่อยหรอเพราะในยุคนี้คนมุ่งแต่จะเอาชนะ แต่คุณกลับมานั่งสอนเรื่องการแพ้

ธนา : คุณเชื่อผมเถอะเรื่องแพ้เป็นเรื่องสำคัญในชีวิต ในแง่ดีของ Loser บางครั้งมันกลับทำให้เราระวังตัวมากขึ้น เพราะคุณจะทำทุกอย่างเหมือนกับว่าพรุ่งนี้เป็นสุดท้าย เมื่อทุกอย่างมันบีบคั้นความคิดสร้างสรรค์ที่จะเอาตัวรอดผมเชื่อว่ามันต้องเกิดขึ้น ผมยกตัวอย่างของ พี่บอย-โกสิยพงษ์ ที่เล่าให้ผมฟังว่าที่เขาแต่งเพลง Live & Learn ได้ เพราะว่าพ่อเขาเสีย ซึ่งพี่บอยรักพ่อมากที่สุดในชีวิตเขาเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ตั้งหลายเดือน จนรู้สึกว่ามันต้องหยุด แล้วเอาความรู้สึกทั้งหมดมาแต่งเป็นเพลงนี้ นี่คือผลผลิตจากความพ่ายแพ้และความเจ็บปวด

000043

MKT Event :  ความพ่ายแพ้ครั้งไหนที่ทำให้จดจำจนเกิดเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตของคุณ

 

ธนา : ความอ้วน เป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่ทำให้ผมมองเห็นคุณค่าของชีวิต ตอนนั้นไม่ดูแลตัวเองกินไม่ดีแล้วก็ประมาทในการใช้ชีวิตด้วยการไม่ออกกำลัง จนเกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ หลังจากรอดมาจากวิกฤติครั้งนั้น มันทำให้ได้คิดอะไรหลายอย่าง

MKT Event : คุณคิดอะไรบ้างตอนนั้น

ธนา : คิดว่าเราต้องไม่ประมาทในการใช้ชีวิต จนต้องมองย้อนกลับมาที่ชีวิตอีกครั้ง ผมพบว่าตัวเองไม่เคยดูแลร่างกายเลย เชื่อไหมตั้งแต่วันนั้นชีวิตเปลี่ยน ผมหันมาออกกำลังกายด้วยการวิ่ง เริ่มแรกวิ่งได้สองกิโลก็แทบรากเลือดแล้ว จนมาถึงวันนี้คุณเชื่อไหมมกราคมที่ผ่านมาผมสามารถวิ่งฮาฟมาราธอนได้แล้วตอนอายุ 46  มันเหลือเชื่อมากนะ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้ เมื่อก่อนตอนอายุ 19-20 วิ่งได้ 10 กิโลนี่ในฝันเลยแต่ตอนนี้วิ่ง 20 กิโลเมตรได้โดยที่ไม่ต้องเป็นนักกีฬามาก่อน ทั้งหมดที่จะบอกคือต้องแพ้ก่อนถึงจะรู้ว่าเราไม่อยากป่วยแบบนั้นอีก นี่เป็นชีวิตใหม่หลังจากความพ่ายแพ้

MKT Event : การวิ่งทุกวันในตอนนี้ถือเป็น Comfort Zone หรือยัง

ธนา : ยังไม่ใช่ครับ (หัวเราะ) เพราะการวิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย มันเป็นวินัยที่เราต้องบังคับตัวเองให้ทำทุกวัน

MKT Event :  แล้วคุณมีวิธีคิดแบบไหนที่สามารบังคับให้ตัวเองออกไปทำสิ่งทรมานได้ทุกวัน

ธนา : ก็ต้องหาวิธีให้ตัวเองชอบวิ่ง เช่นผมอยากหน้าหนุ่ม ๆ ตอนลูกเป็นสาว ให้คนทักว่าเป็นพี่ชาย หรือไปงานเลี้ยงรุ่นคนทักทำไมหน้าเด็กจัง (หัวเราะ) อันที่ 2 คือผมไม่อยากป่วยอีกแล้วอยากสร้างให้ชีวิตเราอัพเกรดเป็นนิวเวอร์ชั่น (ยิ้ม) ที่นี้ถามว่าเราจะทำมันได้ไหมมันต้องสร้างความเชื่อ (Belief) บางอย่างเพื่อเปลี่ยนทัศนคติ (Attitude) ผมยกตัวอย่างศิลปินฝรั่งเศสคนหนึ่งเขาต้องอาบน้ำเย็นมากทุกเช้ามืดมันทรมานมาก ซึ่งวิธีคิดคือถ้าเขาชนะตัวเองได้ในตอนเช้า ทั้งวันเขาก็สามารถชนะได้ทุกอย่างเพราะมันได้ลองทำอะไรยาก ๆ ไปแล้ว อย่างผมตอนวิ่งก็ใช้ไนกี้พลัสสะสมเวลา ระยะทางแชร์เพื่อแข่งกับเพื่อน ด้วยความไม่อยากแพ้ก็ต้องวิ่ง เขาวิ่งได้เท่าไหร่ ผมต้องวิ่งให้ได้เท่าหรือมากกว่า อันนี้ก็เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งในการที่ทำให้เราทำอย่างนี้ทุกเช้า

MKT Event : เมื่อชีวิตเปลี่ยนความคิดก็เปลี่ยน ตอนนี้สาระสำคัญที่คุณได้คำตอบจากการใช้ชีวิตที่ผ่านมาคืออะไร

ธนา : ชีวิตมันก็เป็นชีวิต เราเป็นผู้นั่งดูมันเท่านั้น แล้วก็รู้ว่าชีวิตกะเกณฑ์อะไรไม่ค่อยได้วางแผนอะไรก็ไม่ค่อยเป็นตามแผนหรอกอย่าไปวางมันเลย และอย่าไปเครียดหากมันไม่เป็นตามอย่างที่เราคาดหวัง อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากนั่นคือการสะสมจุดแห่งประสบการณ์ของชีวิต รวมถึงการสะสมมิตรภาพที่ดีที่เกิดขึ้นระหว่างทางของชีวิต เพราะนี่คือสิ่งสำคัญที่จะพาคุณให้รอดพ้นจากอุปสรรคยามที่คุณต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งในอนาคตอีก 10 ปี คำตอบมันอาจจะไม่ใช่แบบนี้ก็ได้ (หัวเราะ)

MKT Event : แล้วสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตตอนนี้คือสิ่งใด

ธนา : ลูกสาวทั้งสองคนครับ (ตอบเร็ว) เขากำลังซน คนนึงอายุ 10 ขวบ อีกคนอายุ 11 ขวบ อยากมีเวลาอยู่กับเขาเยอะ ๆที่สุดเท่าที่จะเยอะได้ก่อนที่เขาจะเป็นวัยรุ่น ก็พยายามจะจัดอะไรที่มันอยู่รอบ ๆ ตัวตามสมควร ให้มีเวลาอยู่กับเขาให้มากที่สุด งานอะไรที่มันจะเอาเวลาไปเยอะ ๆ ผมก็จะพยายามเลี่ยงเพื่อจะได้อยู่กับเขา แล้วยิ่งตอนนี้มันมีเทรนด์ที่ว่า ‘100 is New 60’ เพราะคนหันมาใส่ใจสุขภาพเพื่อมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น มันคงไม่แปลกอะไรกระมังที่ผมจะเลือกงานแบบไม่ประจำ เพราะเมื่อเขาโตหากผมอยากทำงานผมก็สามารถกลับมาทำได้อีก ลูกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผมเลือก ทั้งยังเป็นสิ่งที่ทำให้ผมคิดถึงชีวิตของตัวเองมากที่สุด

 

 

เรื่อง : Boonake A.

ภาพ : Yasin W.

mktevent
No Comments

Post a Comment